This blog is about the horticultural knowledge which related to the Landscape Architect work. The topics are base on the class of Plant Materials and Plant Science, Landscape Horticultural Technology in Dept. of Landscape Architecture, Thammasat University.
ค้นหาบล็อกนี้
วันพุธที่ 30 มิถุนายน พ.ศ. 2553
การวางผังสถานเพาะชำ (nursery layout)
องค์ประกอบของสถานเพาะชำ( nursery element)
การสร้างสถานเพาะชำเพื่อใช้ในการภูมิทัศน์ควรจะมีองค์ประกอบต่างๆ ไม่ว่าจะเป็นสำหรับงานทางด้านเอกสาร หรืองานทางด้านปฏิบัติการ เพื่อก่อให้เกิดประสิทธิภาพในการทำงานตลอดจนทำให้สามารถทำงานความสะดวกในดำเนินกิจการได้ตามเป้าหมายหรือวัตถุประสงค์ที่ต้องการ ดังนั้นเมื่อได้สถานที่สำหรับสร้างสถานเพาะชำแล้ว องค์ประกอบของสถานเพาะชำที่จะต้องนำมาพิจารณาเพื่อใช้สำหรับการดำเนินกิจการ ได้แก่
1. กลุ่มพื้นที่บริหาร
1.1 ส่วนสำนักงาน เนื่องจากการบริหารสถานเพาะชำนั้นจะเกี่ยวข้องกับงานหลายด้านโดยเฉพาะอย่างยิ่งงานทางด้านเอกสาร เช่น งานด้านบัญชี การเงิน การจัดซื้อและการขาย งานด้านบุคคล ถือได้ว่าเป็นสถานที่เก็บฐานข้อมูลที่สำคัญ เพื่อใช้ประกอบการตัดสินใจในการผลิตพืชพรรณให้สอดคล้องกับเป็าหมายที่ได้กำหนดไว้ ส่วนของสำนักงานนี้อาจเป็นอาคารเดียวแยกออกมาหรือเป็นเพียงห้องที่อยู่ภายในอาคารก็ได้ ควรมีพื้นที่เพียงพอสำหรับการปฏิบัติงานและเก็บเอกสาร นอกจากนั้นแล้วควรมีการถ่ายเทอากาศที่ดีอีกด้วย
1.2 พื้นที่จำหน่ายพืชพรรณ พื้นที่ส่วนนี้อาจเป็นได้ทั้งพื้นที่ในร่มหรือพื้นที่กลางแจ้ง ทั้งนี้ขึ้นกับนิสัยของพืชพรรณที่เลี้ยงไว้ โดยพื้นที่ส่วนนี้ควรอยู่ใกล้ชิดกับส่วนของสำนักงานและลานจอดรถ เพื่อความสะดวกในการเลือกซื้อและขนส่งต้นไม้ อาจมีบริเวณสำหรับขนย้ายต้นไม้โดยเฉพาะแยกต่างหากออกไป เพื่อรอขนขึ้นรถบรรทุกที่มารับโดยเฉพาะ
2. กลุ่มพื้นที่ผลิต
2.4 เตาเผาซากพืช สำหรับเศษวัสดุที่เหลือจากการทำปุ๋ยหมักโดยเฉพาะส่วนของพืชที่มีการเข้าทำลายโดยโรคและแมลง จะต้องรีบเผาทำลายโดยทันทีเพื่อป้องกันการระบาดในสถานเพาะชำโดยส่วนนี้อาจอยู่ชิดบริเวณริมรั้วด้านใดด้านหนึ่ง ควรอยู่ห่างจากบริเวณอื่นพอสมควร และมีแหล่งน้ำอยู่ใกล้ ๆ เพื่อใช้สำหรับกรณีที่ต้องควบคุมเพลิงเวลาเผาซากพืช
2.5 แหล่งน้ำ เนื่องจากน้ำเป็นองค์ประกอบที่สำคัญของเซลล์และโครงสร้างต่างๆ ของพืชพรรณ สถานเพาะชำกล้าไม้จำเป็นอย่างยิ่งที่ต้องมีแหล่งน้ำภายในพื้นที่ โดยแหล่งน้ำควรอยู่ไม่ไกลจากโรงเรือนเพาะชำ แหล่งน้ำดังกล่าวอาจเป็นแหล่งน้ำตามธรรมชาติหรือแหล่งน้ำที่สร้างขึ้นก็ได้ บริเวณแหล่งน้ำควรมีจุดควบคุมการจ่ายน้ำซึ่งได้แก่เครื่องสูบน้ำ ระบบกรอง ระบบส่งน้ำ ซึ่งอาจเป็นระบบอัตโนมัติหรือควบคุมโดยมนุษย์ และจะต้องมีคุณภาพและปริมาณเพียงพอแก่การใช้งานตลอดทั้งปี
2.6 บริเวณกองปุ๋ยหมัก ในการดำเนินกิจกรรมของสถานเพาะชำแต่ละวันย่อมมีเศษวัสดุที่เหลือจากการดำเนินงาน โดยในส่วนของเศษวัสดุที่เป็นอินทรีย์วัตถุสามารถนำมาทำเป็นปุ๋ยหมักได้ สำหรับชิ้นวัสดุที่มีขนาดใหญ่อาจต้องผ่านการย่อยด้วยเครื่องย่อยเศษวัสดุก่อน แล้วนำไปเทกองในบริเวณใดบริเวณหนึ่งของสถานเพาะชำเป็นพื้นที่ทำปุ๋ยหมักโดยเฉพาะดังภาพที่ 2.10 สำหรับเศษอินทรีย์วัตถุที่ใช้ในการทำปุ๋ยหมักมีข้อควรระวังคือ ต้องไม่มีโรคหรือแมลงติดไปกับวัสดุดังกล่าว
3. กลุ่มพื้นที่สนับสนุนการผลิต
3.1 โรงเก็บวัสดุปลูก และพื้นที่ผสมวัสดุปลูก เนื่องจากงานในสถานเพาะชำจำเป็นต้องมีวัสดุปลูกสำหรับพืชพรรณหลายชนิดและมีการใช้ในปริมาณมาก จึงต้องมีพื้นที่สำหรับเก็บอย่างเป็นสัดส่วน และง่ายต่อการขนย้ายเพื่อนำมาใช้ผสมเป็นวัสดุปลูก อย่างไรก็ตามวัสดุปลูกบางชนิดอาจมีกลิ่นที่ไม่พึงประสงค์ ดังนั้นตำแหน่งของโรงเก็บวัสดุปลูกควรห่างจากส่วนสำนักงานพอสมควร แต่ไม่ควรห่างจากพื้นที่ปฏิบัติงานภายนอกอาคารและโรงเรือนเพาะชำ เพื่อความสะดวกในการขนย้ายต้นกล้าเมื่อทำการขยายพันธุ์แล้ว นอกจากนั้นแล้วควรคำนึงถึงการเข้าถึงของยานพาหนะที่จะขนวัสดุปลูกเข้ามาอีกด้วย
3.2 โรงเก็บปุ๋ยเคมี ในการดูแลรักษาพืชพรรณเพื่อให้ได้คุณภาพที่ดี ตรงตามขนาดที่ต้องการจำเป็นอย่างยิ่งที่ต้องมีการให้ปุ๋ยเคมีเพื่อช่วยการเจริญเติบโตให้พืชได้อาหารอย่างสม่ำเสมอ ดังนั้นสถานเพาะชำจึงต้องมีการเก็บปุ๋ยเคมีเพื่อใช้งานจำนวนหนึ่ง โดยโรงเก็บปุ๋ยเคมีควรมีการระบายอากาศที่ดี และห่างจากส่วนของสำนักงานพอสมควร แต่สามารถใช้พื้นที่ร่วมกับห้องเก็บสารเคมีหรือห้องเก็บวัสดุอุปกรณ์ได้ มีการเข้าถึงได้ค่อนข้างสะดวก นอกจากนั้นแล้วต้องป้องกันน้ำฝนได้ดี ควรมีการนำยกพื้นเพื่อป้องกันความชื้นที่จะทำให้เกิดการจับตัวแข็งของปุ๋ยเคมีได้
3.3 ห้องเก็บสารเคมี การผลิตพืชพรรรณสำหรับงานภูมิทัศน์ให้ได้ปริมาณมากจำเป็นต้องมีการใช้สารเคมีหลายชนิดเข้ามาเกี่ยวข้องเพื่อให้ได้ปริมาณกล้าไม้ตามต้องการ สารเคมีเหล่านี้มีหลายชนิดมีทั้งที่เป็นอันตรายและไม่เป็นอันตราย จำเป็นต้องมีการจำแนกเป็นหมวดหมู่เพื่อความสะดวกในการใช้งาน ติดป้ายชื่ออย่างชัดเจน ห้องเก็บสารเคมีควรอยู่ในบริเวณที่ร่มไม่โดนแดดเพราะแดดอาจทำให้สารเคมีเสื่อมคุณภาพได้ และไม่ควรไกลจากพื้นที่ปฏิบัติงานมากนัก
3.5 ที่พักคนงาน ในกรณีที่มีการจ้างแรงงานหลายคน ควรจัดให้มีพื้นที่สำหรับพักผ่อนโดยมีสิ่งอำนวยความสะดวกให้ตามสมควร เช่น ห้องน้ำ ส่วนสำหรับพักรับประทานอาหาร ห้องเก็บของส่วนตัวเป็นต้น ทั้งนี้เพื่อความเป็นระเบียบเรียบร้อยของสถานเพาะชำ ในกรณีที่มีคนงานพักอาศัยอยู่ภายในสถานเพาะชำ จำเป็นต้องมีบ้านพักสำหรับคนงานเพื่อความสะดวกในการทำงาน พื้นที่ส่วนนี้อาจจะอยู่ด้านในเข้าไปของสถานเพาะชำ หรือไม่ห่างจากเรือนเพาะชำมากนัก
4. กลุ่มอื่นๆ
4.1 ลานจอดรถและเส้นทางติดต่อภายในสถานเพาะชำ อาจมีลานจอดรถแยกเป็นสองส่วนคือสำหรับลูกค้าที่มาติดต่อซื้อพรณไม้ และส่วนของพนักงานที่มาปฏิบัติงาน โดยส่วนแรกควรอยู่ใกล้กับส่วนของสำนักงานหรือพื้นที่จำหน่ายพืชพรรณส่วนที่สองควรอยู่ด้านใน และต้องไม่กีดขวางทางสัญจรภายในที่จะต้องไปบริเวณอื่นๆ
4.2 ทางเข้า ควรอยู่ติดกับด้านที่เป็นถนนใหญ่สามารถเข้าออกได้ 1 ถึง 2 ทางและต้องมีประตู ที่กว้างพอสำหรับรถบรรทุกผ่านไปได้ ตำแหน่งของประตูควรอยู่ในบริเวณที่เลี้ยวสู่ถนนใหญ่ได้ง่ายและปลอดภัย ไม่ควรอยู่บริเวณหัวโค้งหรือมุมอับ เพราะอาจทำให้เกิดอุบัติเหตุได้ง่าย
4.3 แนวไม้กันลม ในกรณีที่พื้นที่ของสถานเพาะชำตั้งอยู่ในบริเวณที่มีลมรุนแรงควรปลูกต้นไม้เป็นแนวกันลมบริเวณริมของพื้นที่ทางด้านดังกล่าวจำนวนหนึ่งถึงสองแถวโดยปลูกสลับกัน เพื่อลดความรุนแรงของลมในแนวนั้น
จากองค์ประกอบที่ได้กล่าวมาทั้งหมด จะเห็นได้ว่าองค์ประกอบของสถานเพาะชำมีหลายอย่างที่ต้องพิจารณา อย่างไรก็ตามการสร้างสถานเพาะชำไม่จำเป็นที่จะต้องมีองค์ประกอบที่กล่าวมาครบทุกส่วนอาจมีการยุบรวมกันเพื่อใช้พื้นที่ให้เกิดประโยชน์มากที่สุดได้ เช่น พื้นที่สำหรับเก็บปุ๋ยเคมีอาจใช้รวมกับห้องเก็บสารเคมีและห้องเก็บวัสดุอุปกรณ์ เป็นต้น ทั้งนี้ควรพิจารณาจากความจำเป็นและงบประมาณเป็นสำคัญ